สรุป Live: โลกป่วน! จัดพอร์ตลงทุนยังไงให้รอด?
พบกับ Live สดจาก Jitta Wealth ประจำวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 โดยคุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO และคุณอ้อ พรทิพย์ กองชุน CGO ของ Jitta Wealth ที่มาพูดคุยถามตอบกันแบบสดๆ ในหัวข้อโลกป่วนหนัก! จัดพอร์ตลงทุนยังไงให้รอด? ตลาดการเงินทั่วโลกกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้ง AI และการกลับมาของ Trump รวมไปถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ วางแผนลงทุนยังไงดี เตรียมตัวยังไงบ้าง มากหาคำตอบกัน
หากคุณสนใจอยากรับชม Live ของเราแบบสดๆ ในโอกาสต่อไปติดตามเราได้ที่ Facebook หรือ Youtube ของ Jitta Wealth ได้เลย
ดูวิดีโอย้อนหลัง
สรุปสถานการณ์ตลาดหุ้น โลกป่วนจริงหรือไม่?
ปีนี้ถึง 5 ปีข้างหน้าภาพใหญ่ๆ ก็คือเรื่องการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน เพื่อแย่งกันเป็นที่ 1 ทั้งภาพรวมทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ความมั่นคง และเรื่องอื่นๆ ด้วย
ทั่วโลกมองเห็นแล้วว่า อุตสาหกรรม AI มีความสำคัญ กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโลกมากขึ้นเรื่อยๆ
จีนมีจุดมุ่งหมายสู่การเป็นผู้นำเทคโนโลยีและ AI ภายใต้แผน ‘Made in China 2025’ เทคโนโลยีด้าน AI ของจีนอาจจะไม่ได้โดดเด่นกว่าสหรัฐฯ ในด้านของประสิทธิภาพของเทคโนโลยี แต่โดดเด่นเรื่อง ‘ราคา’ เพราะใช้ต้นทุนต่ำกว่ามาก
อีกเรื่องหนึ่งคือ รัฐบาลจีนเริ่มกลับมาโฟกัสในส่วนของ Hard Tech มากขึ้น มากกว่าการผลิต Software ซึ่งจุดเด่นของจีนในข้อนี้คือ จีนสามารถผลิตสินค้าเหล่านี้ได้ในต้นทุนที่ต่ำ
ช่วงนี้ตลาดหุ้นในส่วนของเทคโนโลยีจีนก็ขึ้นมาเยอะมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ Jitta Wealth เคยพูดไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วถึงต้นปีนี้ว่า…จีนกำลังมา
นอกเหนือจากเรื่องการแข่งขันในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องจับตามมองคือนโยบายต่างๆ ที่ออกมาจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่าง Trump
นโยบายที่โดดเด่นมาตลอดของ Trump คือ การขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งที่ผ่านๆ มาเริ่มไม่กระทบกับตลาดหุ้นแล้ว ซึ่งจากการวิเคราะห์นโยบายที่ผ่านๆ มาของ Trump มีเป้าหมายหลักๆ คือ การเพิ่มรายได้เพื่อลดภาษีในประเทศ และดึงโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ให้กลับมาเปิดที่สหรัฐฯ กับอีกเรื่องคือการลดค่าใช้จ่ายฝั่งรัฐบาลให้เยอะที่สุด เรียกได้ว่ายังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไปว่านโยบายต่างๆ จะกระทบหรือมีผลดีอย่างไรบ้าง
เรื่องสุดท้ายคือ ภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน หรือ อีหร่าน-อิสราเอล ที่ยังไม่ยุติ และอาจจะลุกลามมากขึ้นหาก Trump ดึงสหรัฐฯ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่จากการวิเคราะห์ Trump เป็นนักธุรกิจ จีนก็เช่นเดียวกัน ทำให้การตัดสินใจของเขาส่วนใหญ่จะพยายามไม่ให้กระทบกับภาคธุรกิจมากที่สุดเช่นเดียวกัน ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ต้องการให้เกิดสงคราม
จัดพอร์ตอย่างไร? ในวันที่โลกปั่นป่วน
โลกจะเป็นอย่างไร อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นเราไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งที่เราต้องทำคือเตรียมพร้อมรับมือให้ดีที่สุด จัดพอร์ตให้สามารถฝ่าวิกฤติฝ่าความผันผวนต่างๆ ไปได้
ซึ่งการจัดพอร์ตที่เราแนะนำก็คือ Core & Satellite ที่สามารถปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงตามความต้องการของคุณได้
ยกตัวอย่างเช่น เราเลือกลงทุนประเทศใดประเทศหนึ่ง อาจตัดสินใจผิดก็ได้ การพยายามคาดการณ์หรือไปเสี่ยงกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไป อาจไม่ใช่ทางออกที่ดี ดังนั้นจึงกลับมาที่การจัดพอร์ต Core & Satellite
โดยพอร์ตหลัก Core Port จะเป็นเหมือนกระดูกสันหลังของพอร์ตทั้งหมด แนะนำให้กระจายความเสี่ยงลงทุนทั่วโลก ลงทุนในสินทรัพย์ที่ค่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคง ส่วนพอร์ตรอง Satellite Port คือสินทรัพย์ที่เสี่ยงมากหน่อย และเป็นสินทรัพย์ที่เรามุ่งเน้นผลตอบแทน
สำหรับนโยบายการลงทุนของ Jitta Wealth ในส่วนของพอร์ตหลัก หรือ Core Port เราแนะนำเป็น Global ETF ที่กระจายความเสี่ยงลงทุนในหุ้นทั่วโลก และตราสารหนี้คุณภาพดีมากมาย ผ่าน ETF
จัดพอร์ตตามทฤษฎีรางวัลโนเบลอย่าง Modern Portfolio Theory ที่มุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดในระดับความเสี่ยงนั้นๆ
ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเรามักจะแนะนำพอร์ต Global ETF ให้แก่นักลงทุน ไม่ว่าจะเป็น นักศึกษาจบใหม่ หรือนักลงทุนวัยใกล้เกษียณ เนื่องจากเป็นพอร์ตที่ค่อยๆ เติบโตไปเรื่อยๆ และมีความผันผวนต่ำ สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มลงทุนควรลองเรียนรู้และรู้จักความผันผวนก่อน ไม่อย่างนั้นหากลงทุนในระดับความเสี่ยงที่ไม่เหมาะสม ทำให้ไม่สามารถรับมือกับความผันผวนได้ จนต้องล้มเลิกไป
ซึ่งพอร์ตหลัก หรือ Core Port แนะนำลงทุนในสัดส่วนที่ 80% อีก 20% ก็แบ่งไปลงในพอร์ตรอง หรือ Satellite Port เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้น เสี่ยงได้มากขึ้น เช่น ปีนี้มีกระแสว่าจีนกำลังมา ก็สามารถลงทุนจีนเป็นพอร์ตรองได้ เพราะต่อให้เราจะคาดการณ์ผิดและติดลบ ก็ยังมี Core Port คอยช่วยพยุงให้ภาพรวมไม่ติดลบมากนัก หรือไม่ติดลบเลย
ดังนั้นในช่วงสถานการณ์ที่โลกปั่นป่วนวุ่นวาย ดูว่าตัวเองมี Core Port หรือยัง หรือจริงๆ แล้วมี Satellite Port หลายพอร์ต เช่นคุณลงทุนหลายประเทศเลย แต่การลงทุนเหล่านั้นยังจัดสัดส่วนได้ไม่ถูกต้อง ก็ถือว่ายังไม่เป็น Core Port
ตัวอย่างพอร์ต Core & Satellite

Core Port จะเป็น Global ETF (เติบโต) ซึ่งลงทุนมานานกว่า ปัจจุบันได้ผลตอบแทนอยู่ที่ 52.48% ส่วน Satellite Port จะเป็น Thematic Optimize ปัจจุบันได้ผลตอบแทนอยู่ที่ 48.85% ซึ่งจะเห็นได้ว่า Thematic Optimize ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ดีกว่า ( Thematic Optimize ลงทุนมาประมาณ 3 ปีกว่า ส่วน Global ETF (เติบโต) ลงทุนมาประมาณ 4 ปีกว่า)
แม้ว่า Thematic Optimize จะทำผลตอบแทนได้ดูดี แต่จริงๆ ในภาพรวมของความผันผวน หลังจากที่ลงทุนไป มีปีที่ตกหนักๆ อยู่ด้วย เนื่องจากในช่วงปี 2564 ที่เริ่มลงทุนเป็นช่วงกลุ่ม Thematic หรือกลุ่มเมกะเทรนด์พุ่งขึ้นเยอะมาก และหลังจากนั้นก็ร่วงลงมา แต่ด้วยวินัย DCA สุดท้ายก็จะกลับมาได้ ส่วน Global ETF แม้ว่าผลตอบแทนจะทำได้ดีน้อยกว่า Thematic Optimize แต่ก็มีความเสี่ยงที่น้อยกว่า
จากภาพกราฟเส้นสีฟ้าคือมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ส่วนเส้นสีเทาคือเงินลงทุน จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ Thematic Optimize ตกหนักๆ ยังมีพอร์ต Global ETF ที่ช่วยพยุงให้ภาพรวมไม่ผันผวนมากนัก นั่นคือข้อดีของการมีพอร์ต Core & Satellite
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดพอร์ต Core & Satellite
เมื่อหุ้นที่ติดลบกลับมาเท่าทุน ถือต่อหรือพอแค่นี้?
สิ่งที่นักลงทุนมักทำผิดพลาดคืออดทนถือตอนที่หุ้นตกเป็นระยะเวลานานได้ แต่พอหุ้นกลับมาเท่าทุนหรือบวกขึ้นมาแล้วตัดสินใจขาย ทำให้พลาดโอกาสที่จะบวกต่ออีกเยอะ
ยกตัวอย่างดัชนี Nasdaq ที่ผ่านวิกฤติหลายๆ ครั้ง เช่นถ้าใครลงทุนในช่วงวิกฤติดอทคอม ที่กว่าตลาดหุ้นจะกลับมาก็กินเวลาไปกว่า 10 ปี ซึ่งถ้าคุณขายไปเลยตอนที่หุ้นกลับมา ก็จะพลาดโอกาสที่หุ้นนั้นจะโตไปอีกกว่า 4 เท่า

ดูอย่างไรว่าตลาดเป็นช่วงขาขึ้น
ในช่วงตลาดหุ้นตกต่อเนื่องหรือที่เราชอบเรียกว่า Bear Market ตลาดหุ้นตกลงมากว่า 20% จากจุดสูงสุดก็จะเรียกว่าเข้าสู่โซน Bear Market แล้ว ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจุดต่ำสุดจะเป็นเท่าไหร่ แต่จุดกลับตัวคือ ตอนที่ตลาดหุ้นขึ้นๆ ลงๆ นั้นไม่ได้ทำจุดต่ำสุดใหม่แล้ว เป็นจุดที่เราเริ่มเห็นแล้วว่ามันเป็นขาขึ้น
อย่างเช่นหุ้นจีนที่เราเหมือนจะเห็นจุดกลับตัวแล้ว ก็คือในช่วงปีที่ผ่านมาที่หุ้นจีนตกมากๆ แล้วรัฐบาลอัดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ ทำให้หุ้นพุ่งขึ้นมาเยอะมากๆ และปรับลงมา แต่ไม่ได้ตกลงไปถึงจุดต่ำสุดแล้ว ทำให้เห็นได้ว่าทุกคนพร้อมที่จะเข้าไปซื้อหุ้นในราคานี้แล้ว
ไม่ใช่แค่เรื่องของคนที่รอจะซื้อหุ้นในราคาถูก แต่ต้องดูพื้นฐานของเศรษฐกิจร่วมด้วย ถ้าพื้นฐานเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น หรือกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมเติบโต แม้ว่าความคาดหวังและความกลัวของนักลงทุนจะยังเหมือนเดิม สุดท้ายหุ้นจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ คือจุดที่เศรษจกิจหรือกำไรต่อหุ้นโดยรวมกลับมาเติบโต และความคาดหวังหรือความกลัวของนักลงทุนไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว หุ้นก็จะขึ้น
ลงทุนหุ้นจีนกับ Jitta Wealth อย่างไรได้บ้าง
ที่เราแนะนำจีนอยู่เสมอในช่วงนี้ เพราะข้อมูล Market Prediction ที่พบว่าปัจจุบันในบรรดาหุ้นคุณภาพของจีน มีจำนวนหุ้นถูกมากกว่าหุ้นแพงเยอะมาก จากหุ้นคุณภาพระดับท็อป 50 ตัว มีหุ้นถูก 43 ตัว มีหุ้นแพงแค่ 7ตัว คิดเป็น 6.14 เท่า เห็นได้ว่ามีโอกาสสูงที่ลงทุนแล้วจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี
ดังนั้นเราจึงแนะนำหุ้นจีนเป็นพอร์ตรอง หรือ Satellite Port ซึ่ง Jitta Wealth มีให้เลือกลงทุน ทั้งนโยบาย Thematic และ Jitta Ranking
โดย Thematic สามารถเลือกลงทุนใน ธีมตลาดหุ้นจีน ธีมเทคโนโลยีจีน ธีมพลังงานสะอาดจีน ธีมบริการสุขภาพจีน หรือธีมตลาดหุ้นฮ่องกง และยังเลือกกระจายความเสี่ยงในธีมอื่นๆ ในพอร์ตเดียวได้อีกด้วย สามารถลงทุนใน Thematic DIY ได้เลย
ส่วน Jitta Ranking สามารถเลือกลงทุนได้ทั้ง Jitta Ranking หุ้นจีน หุ้นเทคโนโลยีจีน หรือ หุ้นฮ่องกง นอกจากนี้ยังมี Jitta Ranking Alpha ที่มี Alpha AI คอยวิเคราะห์เลือกประเทศที่น่าลงทุนที่สุดให้ในแต่ละปี ปัจจุบันก็เลือกเป็นประเทศจีนอยู่
ถ้าใครกังวลว่าลงทุนไปแล้ว ปีต่อไปโลกเปลี่ยนแปลกแล้วจะต้องทำยังไง จะย้ายไปลงตลาดไหนดี ก็สามารถลงทุน Jitta Ranking Alpha ให้ AI คอยรีวิวเลือกประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในแต่ละปีให้ได้เลย
หากสนใจการลงทุนสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนของเราได้ที่ Line: @JittaWealth หรือ โทร 02-460-8888